Friday, December 9, 2011

ย้าย-ไม่ย้ายเมืองหลวง เสียงสะท้อนจาก 3 นักวิชาการ ที่ยังไม่มีคำตอบ

กรุงเทพมหานคร เวนิสตะวันออก เมืองหลวงประเทศไทย อยู่กับน้ำมา 200 ปี เคยถูกน้ำท่วมมาแล้วทั่ว กทม.ในปี พ.ศ.2485 สมัยของจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี

ในยุคสมัยของท่าน จอมพลกระดูกเหล็กมีแผนจะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ แต่ไม่ได้ย้ายหนีน้ำ เป็นเพราะประเทศไทยถูกทิ้งระเบิดอย่างหนัก จากฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ 2

แต่ที่ย้าย กทม.หนีน้ำจริงๆ มีอยู่ในหลายรัฐบาล อาทิ รัฐบาลของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็เคยมีแนวคิดที่จะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ "เขาตะเกียบ" จังหวัดฉะเชิงเทรา

รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มีแนวคิดจะสร้างเมืองหลวงใหม่ที่ จ.นครนายก และเมื่อครั้งที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในรัฐบาล ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช 3 (20 เมษายน พ.ศ.2519-23 กันยายน พ.ศ.2519) ก็มีความคิดที่จะย้ายเมืองหลวงไปที่ จ.นครปฐม

ล่าสุด ปัจจุบัน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เสนอญัตติศึกษาการ "ย้ายเมืองหลวง" ไป "นครนายก/เพชรบูรณ์" เพื่อหนีน้ำท่วม โดยอ้างว่าสภาวะแวดล้อมเปลี่ยน

ขณะเดียวกันก็มีทั้งนักวิชาการที่ออกมาสนับสนุนและไม่สนับสนุนการย้ายเมืองหลวง อาทิ รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการอิสระ ด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี รศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล นักวิชาการหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้บริหารโรงเรียนสัตยาไส จ.ลพบุรี

รศ.ศรีศักร นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี บอกถึงความน่าจะเป็นของการย้ายเมืองหลวง ว่า "มีความเป็นไปได้" แต่การย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ จ.นครนายก เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาด เพราะเท่าที่ผ่านมานครนายกก็ถูกน้ำท่วมมาแล้ว

ซึ่งถ้าหากไม่ย้ายเมืองหลวง ขอแนะนำให้เอาแผนผังสมัยรัชกาลที่ 5 มาทบทวนเรื่องคูคลองในการระบายน้ำ

(บน) เขาขนาบน้ำสัญลักษณ์จังหวัดกระบี่ที่นักวิชาการให้ย้าย กทม.ไปอยู่ (ล่าง) พัทยา แหล่งท่องเที่ยวใน จ.ชลบุรี ที่นักวิชาการระบุให้ย้าย กทม.ไปอยู่



เพราะน้ำท่วมครั้งนี้ไม่ได้เป็นความผิดของใคร แต่อยู่ที่การบริหารจัดการน้ำเป็นสำคัญ น้ำที่ไหลมาทางทิศตะวันออกไหลลงสู่ทะเลไม่สะดวกเพราะติดนิคมอุตสาหกรรม สมัยรัชกาลที่ 5 มีการต่อคลองเพื่อให้น้ำหลากลงมาตามธรรมชาติ

ส่วนด้านตะวันตกนั้นเป็นพื้นที่ปลูกข้าว ก็มีการรักษากันไว้ ทำให้มองว่าเห็นที่ทางเศรษฐกิจดีกว่าชีวิตคน สำคัญที่สุดต้องคำนึงถึงชีวิตคน ในอดีต กทม.ก็ถูกน้ำท่วมมาแล้ว ตอนปี พ.ศ.2485 ตอนนั้นผมอายุไม่กี่ขวบ ผมยังเคยไปแก้ผ้าว่ายน้ำที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย น้ำท่วมอยู่เดือนกว่าก็ไม่มีปัญหาอะไร หรือน้ำจะเข้ามาจริงๆ ต้องอยู่กับมันให้ได้

อ.ศรีศักรบอกอีกว่า ถ้าจำเป็นต้องย้ายเมืองหลวงจริงๆ จังหวัดที่น่าจะเลือกเป็นเมืองหลวง เป็นศูนย์กลางการปกครองคือ จังหวัดระยองหรือชลบุรี เพราะน้ำท่วมไม่ถึง ส่วน กทม.ก็ปล่อยให้เป็นเมืองท่าใหญ่ แล้วก็ใช้สนามบินอู่ตะเภา แต่ในความเป็นจริงการจะรักษา กทม.ไว้คงทำไม่ได้ เพราะว่าสภาพภูมิอากาศแปรปรวนหมด มรสุมมาบ่อยมากขึ้น แนวโน้มน้ำทะเลสูงขึ้น ซึ่งตามการพยากรณ์บอกว่า อีก 50 ปีก็อยู่ไม่ได้แล้ว หรือทั้งภาคกลางจมน้ำหมด

"กรุงเทพฯจะรอดได้ก็ต้องเปลี่ยนสังคม เป็นสังคมเกษตรกรรมอยู่กับน้ำอย่างมีความสุข" นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์โบราณคดีคนเดิมบอก พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า ในปี 2555 จะเป็นปีที่คนกรุงเทพฯต้องรับน้ำที่หลากลงมาอีกจำนวนมาก กรุงเทพฯจะกลายเป็นนรกตะวันออกไปในที่สุด

ทางด้าน รศ.ดร.ธนวัฒน์ นักวิชาการหน่วยศึกษาพิบัติภัยและข้อสนเทศเชิงพื้นที่ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ไม่ควรย้ายเมืองหลวง เพราะจะมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างมาก อีกทั้งกรุงเทพฯเป็นเมืองเก่าที่ลงทุนมาตั้ง 200 กว่าปี มันน่าเสียดาย เสียดายวัฒนธรรมของ กทม.ที่จะหายไป ซึ่งเรื่องนี้มีการศึกษากันมาตั้งแต่เมื่อปี 2538 ที่น้ำท่วม กทม.หนักมาก

แนวคิดของการแก้ไข ซึ่งทำได้โดยไม่ต้องย้ายกรุงเทพฯคือ การบีบเมืองหลวงไม่ให้โต แต่ไปโตที่เมืองบริวาร ที่อยู่ห่างจาก กทม.ประมาณ 100 กิโลเมตร มีด้วยกัน 4 เมือง คือ สุพรรณบุรี สระบุรี ฉะเชิงเทรา และราชบุรี แล้วใช้รถไฟความเร็วสูง 200 กม./ชม. สำหรับคนที่อยู่เมืองบริวารใช้โดยสารเวลามาทำงานใน กทม. โดยใช้เวลา 30 นาที



ประโยชน์อีกประการคือ ศูนย์อำนาจจะกระจายออกไป ยกตัวอย่าง เมืองสุพรรณบุรีอาจจะเป็นเมืองการศึกษา หรือศูนย์ราชการอาจจะไปอยู่จังหวัดไหนจังหวัดหนึ่ง ใน 4 เมืองบริวาร

รศ.ดร.ธนวัฒน์บอกอีกว่า เราไม่ควรจะทิ้งเมืองหลวง และเพื่อเป็นการเตรียมการป้องกันน้ำท่วมที่อาจจะมาถึง ก็ต้องมี ระบบป้องกันน้ำท่วมแบบครบวงจร คือซุปเปอร์เอ็กซเพรส ฟลัดเวย์ (Super express Floodway) เส้นทางด่วนพิเศษสำหรับน้ำท่วมไหลหลาก

น้ำจากทางเหนือมีที่มาจาก 4 เส้นทางจะไหลลงมาที่แม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำท่าจีน ตามธรรมชาติน้ำเมื่อลงทะเลไม่ทันก็ต้องไหลมาที่ทุ่งน้ำ แถวบางบัวทอง แล้วจะหลากลงมาโดยธรรมชาติ จะใช้แนวคลองในปัจจุบัน อาทิ คลองชัยนาท คลองป่าสัก คลองรพีพัฒน์ใต้ และคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต ออกสู่ทะเลต่อไป

รศ.ดร.ธนวัฒน์ถามกลับว่า แล้วทำไมต้องย้ายเมืองหลวง ข้อมูลที่บอกว่า กทม.ทรุดปีละ 20 ซม.นั้นไม่ใช่ ตอนนี้อัตราการทรุดตัวของ กทม. 1-3 ซม.เท่านั้น

ที่มีการกล่าวอ้างกันว่ากรุงเทพฯจะหายไป จากการศึกษาพบว่าปัญหาหลักที่กรุงเทพฯจะถูกน้ำทะเลท่วมในอนาคตถึง 76% นั้น 16% เกิดจากภาวะโลกร้อนทำให้น้ำทะเลสูงขึ้น ส่วนอีก 8% จากการสร้างเขื่อน กักเก็บตะกอนไว้ทำให้ไม่สามารถกลับสู่ชายฝั่งได้ ซึ่งในรอบ 100 ปีข้างหน้าจากการศึกษา ชายฝั่งของ กทม.จะถูกกัดเซาะไปแค่ 7-6 กม. หรือประมาณ 2.7 หมื่นไร่

"ในอนาคตมันไม่คุ้มกันที่จะย้ายเมืองหลวงไป เราสร้างวัฒนธรรมมายาวนาน ข้อมูลที่ระบุว่ากรุงเทพฯจะถูกน้ำทะเลท่วม เป็นข้อมูลที่ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องเห็นตรงกัน"

รศ.ดร.ธนวัฒน์บอกว่า ไม่ใช่พอมีข้อมูลน้ำท่วมหรือโดนน้ำท่วมหนักก็จะแก้ปัญหาด้วยการย้ายเมือง มันไม่ถูกต้อง ปัญหาน้ำท่วม กทม.เผชิญอยู่ในขณะนี้เป็นเพราะการขยายตัวของเมืองหลวง ทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงมากขึ้น ผมก็เลยเสนอมาตรการคือขีด กทม.ไม่ให้โต เสร็จแล้วไปโต 4 เมือง ในมาตรการพัฒนากรุงเทพฯและเมืองบริวาร เป็นมาตรการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่ไม่ใช้โครงสร้าง แต่ใช้เชิงนโยบาย

ขณะที่ ดร.อาจอง ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดที่เสนอการย้ายเมืองหลวงว่า "ผมพูดมานานแล้วว่า กทม.จะถูกน้ำทะเลท่วม มันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างที่เขตบางขุนเทียน ในขณะนี้เราสูญเสียแผ่นดินไปหลายกิโลเมตร และถ้าหากน้ำทะเลขึ้นสูงถึง 7 ม.เมื่อไหร่ กทม. นนทบุรี พระนครศรีอยุธยา สระบุรี (บางพื้นที่) และลพบุรี (บางพื้นที่) เจอแน่ และไม่ต้องรอหลายปี เพราะปีหน้าจะมีน้ำจากทางเหนือมามากขึ้น เพราะภาวะโลกร้อน น้ำทะเลระเหย น้ำแข็งละลายที่ขั้วโลกเหนือไหลลงสู่ทะเล"

การเลือกพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการย้ายเมืองหลวง ดร.อาจองแนะว่า ควรหาพื้นที่ที่จะรอดพ้นภาวะน้ำท่วม ซึ่งคงจะต้องมีความสูงประมาณ 100 ม.จากระดับน้ำทะเล และไม่มีรอยเลื่อนของเปลือกโลก ฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ทางภาคเหนือ เพราะมีรอยเลื่อนมาก

พื้นที่ที่ไม่มีรอยเลื่อน คือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางตอนเหนือ และจังหวัดทางภาคใต้ อาทิ ประจวบคีรีขันธ์ กระบี่ และที่สำคัญที่สุดจะต้องเลือกจังหวัดที่ไม่มีแผ่นดินไหวด้วย

ดร.อาจองบอกเพิ่มเติมอีกว่า รัฐบาลจะต้องสร้างเขื่อนป้องกันน้ำทะเลที่อาจจะมาท่วมถึง กทม.อย่างถาวร คือ สร้างเขื่อนที่อ่าวไทย จากสัตหีบถึงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หากเป็นจังหวัดอื่นไม่เหมาะ เพราะอาจจะมีน้ำซึมได้

ย้ายหรือไม่ย้ายเมืองหลวง คงจะต้องรีบตัดสินใจเสียแต่วันนี้ ดีกว่ารอให้ท่วมแล้วค่อยป้องกัน

Wednesday, November 2, 2011

วิธีซ่อมบ้านหลังจากน้ำท่วม

ปัญหาน้ำท่วมนับเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในบางพื้นที่ ทำให้วิธีการซ่อมบำรุงบ้านหลังน้ำลดลงก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรเรียนรู้



ขั้นแรกตรวจดูฝ้าเพดาน ถ้ามีส่วนไหนที่เปื่อยยุ่ยจากการอมน้ำให้เลาะออกทันที เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจหล่นมาทำให้เกิดอันตราย จากนั้นตรวจสอบระบบไฟฟ้าถ้ามีการลอกหลุดบริเวณจุดต่อเชื่อมให้เปลี่ยนใหม่


ส่วนเฟอร์นิเจอร์ต้องพยายามเอาความชื้นออกให้มากที่สุด โดยวิธีตากแดดหรือนำออกมาเช็ด ถ้าเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่บุด้วยนุ่นหรือฟองน้ำควรเปลี่ยนใหม่ทันที เพื่อไม่ให้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค สำหรับบานพับ รูกุญแจและลูกบิดที่เสียหายจากน้ำท่วม เช็ดน้ำออกให้แห้งสนิท ขัดส่วนที่เป็นสนิมแล้วใช้น้ำยาหล่อลื่นชโลมตามจุดรอยต่อ


อุปกรณ์ที่ทำด้วยไม้ ปล่อยไว้จนแห้งสนิทก่อนแล้วจึงค่อยทาสีใหม่ หากประตูไม่เกิดการเอียงจากการแช่น้ำนานให้หาอุปกรณ์มาค้ำยันช่วยรับแรง รอจนความชื้นระเหยออก จึงกลับมาใช้งานตามปกติ ที่สำคัญอย่าลืมตรวจสอบระบบท่อส่งน้ำภายในบ้านที่อาจมีรอยแตกและรั่วซึม


ที่มา dailynews.co.th

Monday, October 24, 2011

ปรับโต๊ะทำงานเพื่อสุขภาพ

ปรับเก้าอี้ให้ได้ระดับ

อาการปวดหลังที่คนทำงาน นั่งโต๊ะมีปัญหาส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการนั่งเก้าอี้ที่ไม่ได้ระดับต่อความ สูงของโต๊ะทำงาน หรือแป้นพิมพ์ ซึ่งหากปรับความสูงต่ำของเก้าอี้ได้จะดีมาก หากไม่สามารถอาจใช้วิธีการบริหารบรรเทาอาการปวดหลังระหว่างวันทำงาน โดยอาศัยช่วงเบรกดื่มกาแฟ หรือพักกลางวัน ยืดกล้ามเนื้อหลัง คอ เอว ไหล่ ข้อมือ ข้อเท้า ทั้งนี้เพื่อเพิ่มระบบไหลเวียนเลือดอีกด้วย


ปรับแสงสว่างให้พอเพียง

ไม่ควรใช้หลอดไฟให้แสงสว่างจนเกินไป เพื่อป้องกันแสงสะท้อนที่กระทบกับจอคอมพิวเตอร์เข้าตาโดยตรง ซึ่งอาจทำให้ปวดหัวได้


รักษาความสะอาดโต๊ะทำงาน

หลีกเลี่ยงการรับประทาน อาหารบนโต๊ะทำงาน เพราะเศษอาหารหรือเศษขนมอาจจะตกหล่น เมื่อสะสมทำให้เป็นบ่อเกิดเชื้อโรคต่างๆ หรือถ้าจำเป็นต้องรับประทานบนโต๊ะทำงาน หลังรับประทานเสร็จให้รีบเช็ดและทำความสะอาดโต๊ะทำงานทันที เก็บเศษอาหารและล้างภาชนะที่ใช้และล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง สุดท้ายอย่าลืมทิ้งขยะใต้โต๊ะทำงานทุกวันและเช็ดฝุ่นบนโต๊ะทำงานอย่างน้อย อาทิตย์ละ 2 ครั้ง

เพื่อสุขอนามัยและสุขภาพของคุณ เสียเวลาใส่ใจรายละเอียดสักนิด แต่ได้ประโยชน์ระยะยาวค่ะ

Wednesday, October 12, 2011

วิธีซ่อมบ้านหลังจากน้ำท่วม

ปัญหาน้ำท่วมนับเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในบางพื้นที่ ทำให้วิธีการซ่อมบำรุงบ้านหลังน้ำลดลงก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรเรียนรู้



ขั้นแรกตรวจดูฝ้าเพดาน ถ้ามีส่วนไหนที่เปื่อยยุ่ยจากการอมน้ำให้เลาะออกทันที เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจหล่นมาทำให้เกิดอันตราย จากนั้นตรวจสอบระบบไฟฟ้าถ้ามีการลอกหลุดบริเวณจุดต่อเชื่อมให้เปลี่ยนใหม่


ส่วนเฟอร์นิเจอร์ต้องพยายามเอาความชื้นออกให้มากที่สุด โดยวิธีตากแดดหรือนำออกมาเช็ด ถ้าเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่บุด้วยนุ่นหรือฟองน้ำควรเปลี่ยนใหม่ทันที เพื่อไม่ให้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค สำหรับบานพับ รูกุญแจและลูกบิดที่เสียหายจากน้ำท่วม เช็ดน้ำออกให้แห้งสนิท ขัดส่วนที่เป็นสนิมแล้วใช้น้ำยาหล่อลื่นชโลมตามจุดรอยต่อ


อุปกรณ์ที่ทำด้วยไม้ ปล่อยไว้จนแห้งสนิทก่อนแล้วจึงค่อยทาสีใหม่ หากประตูไม่เกิดการเอียงจากการแช่น้ำนานให้หาอุปกรณ์มาค้ำยันช่วยรับแรง รอจนความชื้นระเหยออก จึงกลับมาใช้งานตามปกติ ที่สำคัญอย่าลืมตรวจสอบระบบท่อส่งน้ำภายในบ้านที่อาจมีรอยแตกและรั่วซึม


ที่มา dailynews.co.th

Thursday, September 29, 2011

10 วิธี ในการตกแต่งบ้าน ให้ประหยัดแบบสุดๆ

1.เปลี่ยนสีบนผนัง การทาสีผนังบ้านใหม่ นับเป็นวิธีแต่งบ้านที่ง่าย ประหยัด และได้ผลดีที่สุดทางหนึ่ง ลงทุนแค่สีน้ำพลาสติกสีสวยๆ กับแปรงทาสีอีกสักอันราคารวมกันไม่เท่าไหร่ มาจัดการเปลี่ยนผนังเก่าสีหมองในบ้านให้ดูสวยสดใสขึ้น เท่านี้ก็สามารถสร้างบรรยากาศแปลกใหม่ในบ้านได้ ด้วยราคาแบบสบายกระเป๋า

2.เก็บสายไฟในท่อ การเดินสายไฟแบบฝังในผนังดูเรียบร้อยก็จริง แต่จะซ่อมแซมหรือเดินเพิ่มทั้งทีก็ต้องทุบผนัง เสียสตางค์และเสียเวลา ลองเปลี่ยนมาเดินลอยบนผนัง โดยร้อยใส่ท่อเหล็กแล้วอาจทาสีทับให้ดูเรียบร้อย ช่วยประหยัดงบประมาณในการดูแลรักษาและซ่อมแซม

3.ปรับแสงปรับอารมณ์ เปลี่ยนสีของหลอดฟลูออเรสเซนต์ทั่วๆไป โดยนำมาหุ้มด้วยปลอกพลาสติกหลากสีราคาเพียงปลอกละ 10 บาทซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป เพียงเท่านี้ก็จะได้หลอดไฟสีสวยไว้ใช้ตกแต่งและสร้างบรรยากาศของบ้านได้ใน ราคาถูกและช่วยประหยัดพลังงานมากกว่าหลอดนีออน

4. เปลี่ยนโครงสร้างบ้านเป็นเฟอร์นิเจอร์ ใช้ประโยชน์จากส่วนโครงสร้างของบ้าน เช่น ช่องว่างระหว่างเสา โดยติดแผ่นไม้ทำเป็นชั้นวางของ ติดประตูบานเลื่อนเพื่อกันฝุ่น หรือติดม่านกั้นแทนบานตู้ เท่ากับว่าเราประหยัดงบประมาณเงินค่าทำเฟอร์นิเจอร์ทั้งด้านหลังและด้านข้าง นอกจากนี้อาจก่อปูนสูงสัก 40 เซนติเมตร หรือติดแผ่นไม้วางเบาะเพื่อทำเป็นม้านั่งก็ได้ ช่วยประหยัดงบประมาณในการทำเฟอร์นิเจอร์ไปได้เยอะ

5. หนึ่งชิ้นหลายหน้าที่ เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เปลี่ยนหน้าที่การใช้งานได้อย่างเช่น โซฟาเบด ที่สามารถใช้นั่งหรือปรับเป็นเตียงนอนได้ ราคาต่อชิ้นอาจจะแพงกว่าสักหน่อย แต่ด้วยประโยชน์ที่หลากหลายก็ช่วยให้คุณประหยัดได้กว่าการซื้อเฟอร์นิเจอร์ หลายชิ้น

6.ยืดได้หดได้ เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แบบที่สามารถ ปรับเปลี่ยนขนาด ย่อขยาย ยืดหด วางต่อ หรือซ้อนชั้นกันได้ เพื่อรองรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบตามความต้องการ ช่วยให้คุณประหยัดได้ทั้งงบประมาณและพื้นที่ใช้สอย

7.เคลื่อนที่ได้ สำหรับเฟอร์นิเจอร์ชิ้นที่ไม่ได้ใช้งานตลอดเวลา การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก อย่างโต๊ะที่มีล้อเลื่อน จะช่วยให้เราสลับตำแหน่งและการใช้งานได้ง่ายขึ้น เช่น โต๊ะรับประทานอาหารขนาดเล็ก เลื่อนไปใช้งานในครัวเมื่อต้องทำอาหารมื้อใหญ่ วิธีนี้ช่วยประหยัดไปได้ตั้งครึ่ง

8.วางแผนก่อนเพื่อเห็นภาพรวม เหมือนมืออาชีพที่ต้องเขียนแบบแปลน ก่อนจะเริ่มตกแต่งคุณเองควรเขียนแบบแปลนหรือแผนการตกแต่งทั้งหมด เพื่อช่วยให้เห็นภาพรวมและรู้ว่าควรทำอะไรก่อนหลัง เช่น ควรทาสีผนังให้เรียบร้อยก่อนเก็บงานที่พื้น เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดจนต้องทำงานซ้ำซ้อน ซึ่งส่งผลต่อสตางค์ในกระเป๋าของคุณอย่างแน่นอน

9.แต่งบ้านทีละระยะ การแต่งบ้านให้เสร็จลุล่วงในคราวเดียวเป็นเรื่องที่ดี แต่อาจทำให้กระเป๋าฉีกได้ ลองแบ่งงานตกแต่งบ้านทั้งหมด(ตามแผนที่คุณวางไว้) ออกเป็นช่วงๆโดยให้ระยะแรกเป็นส่วนที่จำเป็นที่สุดก่อน แล้วดำเนินการทีละขั้นตอน เมื่อระยะแรกจบอาจทิ้งช่วงเก็บสตางค์สักพัก จากนั้นจึงเริ่มช่วงต่อไป กว่าจะเสร็จอาจใช้เวลาสักหน่อย แต่เพื่อไม่ให้คุณต้องรับภาระหนักเกินไป และยังเป็นการให้เวลาตัวคุณสรรหาของที่ถูกใจจริงๆอีกด้วย

10.ซื้อช่วงลดราคาถูกกว่าเยอะ ร้านขายของแต่งบ้านเกือบทุกร้านจะมีช่วงลดกระหน่ำประจำปี โดยเฉพาะร้านใหญ่ๆอย่าง Modernform Index Habitat ซึ่งหากเราอดใจรอซื้อในช่วงลดราคา ก็จะได้ของดีที่ราคาถูกกว่ามาก โดยเฉพาะของชิ้นใหญ่ใช้งบเยอะอย่าง ที่นอน โซฟา เตียง หรือตู้เสื้อผ้า รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆด้วย แต่คุณอาจต้องจดบันทึกสักหน่อยว่าร้านที่คุณไปเล็งๆของไว้นั้น เขาลดราคากันช่วงไหน เดือนไหนของปี บางที่ลดปีละ 2 หน เพื่อปีถัดไปคุณจะได้วางแผนการช็อป(และเตรียมเก็บเงิน)ได้พอดี และต้องตาดีพอจะเลือกของ คนละเวลา คนละสถานที่ แล้วนำมาเข้าชุดกันได้

ที่มา ทำเลดี ดอทคอม

Saturday, August 27, 2011

ตกแต่งบ้าน สไตล์คันทรี่


จะว่าไปแล้วการตกแต่งบ้านก็เหมือนกับการแต่งตัว คนหนึ่งก็ชอบอย่างหนึ่ง สไตล์ใครสไตล์มัน ฉบับนี้ขอนำวิธีการตกแต่งบ้านอีกแบบหนึ่งจากคอลัมน์ "สถาปัตย์ทรงเครื่อง" เขียนโดย "แก้มยุ้ย" ในนิตยสาร "คู่บ้าน" ในกลุ่มพันธมิตรบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) มาฝากท่านผู้อ่าน โดยผู้เขียนแนะนำให้ลองไปปรับหรือเปลี่ยนแปลงมุมบ้านให้เป็นไปตามสไตล์คันทรี่ เพื่อให้เกิดมุมที่มีความเป็นธรรมชาติ น่าอยู่ น่าสบาย

จะว่าไปแล้ว การตกแต่งสไตล์ "คันทรี่" นี้ก็สามารถทำได้ด้วยตนเอง แล้วแต่ว่าคนคนนั้นต้องการสไตล์ที่ออกมาแล้วเป็นรูปแบบไหน จะดูแบบเรียบง่าย ลูกทุ่งๆ หรือว่าเป็นแบบหรูหรา ฟุ้งเฟ้อ แต่โดยปกติแล้วการตกแต่งบ้านพักอาศัยให้ออกมาเป็นแบบสไตล์คันทรี่นั้น ก็มีวัสดุให้เลือกใช้ได้หลากหลาย เช่น แผ่นไม้ เปลือกไม้ ซุง หิน ต้นไม้ หรือว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับต่างๆ

เราจะมาไกด์ไอเดียในการตกแต่งมุมมุมหนึ่งในบ้านให้เป็นสไตล์คันทรี่แบบลูกทุ่งๆ กัน เพื่อให้เกิดความงามที่ดูเรียบง่ายและสามารถทำกันได้ทุกๆ คน

ก่อนอื่นเราลองมาดูกันซิครับว่า ในบ้านเรามีมุมมุมหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ใช้งานหรือไม่ ถ้ามีก็เข้าทางเราพอดี

ขั้นตอนแรก ดูทำเลสถานที่ก่อนว่าเป็นอย่างไร อยู่ด้านในหรือว่าด้านนอก จากนั้นก็จัดแจงวัดพื้นที่ซะเลย ว่าเป็นพื้นที่อย่างไร มีส่วนไหนที่จะเป็นอุปสรรคในการตกแต่งหรือไม่ ถ้ามีควรจัดการโยกย้ายเพื่อให้พื้นที่ของเราเป็นมุมที่เราสามารถทำงานได้สะดวก

ขั้นตอนที่ 2 จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่เราคิดว่าได้ความรู้สึกถึงความเป็นคันทรี่ พรมขนาดพอเหมาะกับพื้นที่ในมุมนั้นๆ เฟอร์นิเจอร์ไม้ฉลุสวยๆ โคมไฟเก่าๆ โต๊ะไม้สัก (เก่า) อุปกรณ์ตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น ตุ๊กตารูปคาวบอยหรือตุ๊กตาคนขี่วัว ภาพแขวนผนังรูปฟาร์มทุ่งโล่ง หรือรูปภาพนักสู้วัวกระทิง

ขั้นตอนที่ 3 ลองวางไอเดียคร่าวๆ ว่าจะจัดวางเฟอร์นิเจอร์อย่างไร โดยการกำหนดจุดวางพรมก่อน แล้วจึงจัดวางเฟอร์นิเจอร์เป็นลำดับถัดไป แต่ต้องอย่าลืมว่าเราจะไม่จัดแบบเป็นทางการมากนัก เพราะว่าเราต้องการอารมณ์ที่ให้ความรู้สึกสบายๆ มากกว่าความรู้สึกแบบเป็นทางการ

ขั้นตอนที่ 4 ลงมือตกแต่งด้วยอุปกรณ์ที่ตระเตรียมไว้ จัดวางตุ๊กตาคาวบอยไว้ตรงกลางโต๊ะไม้สัก (เก่า) อาจจะเสริมด้วยแจกันทรงเตี้ยๆ ใส่ดอกไม้สักหนึ่งดอก ด้านแบ็ก กราวนด์หลังถ้ายังโล่งอยู่ก็นำภาพแขวนผนังที่เตรียมไว้มาติดเพื่อเพิ่มบรรยากาศให้มีความรู้สึกเหมือนกับอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ

ขั้นตอนที่ 5 จัดการติดตั้งโคมไฟที่เตรียมไว้ พยายามติดให้ระยะของแสงสว่างส่องลงมาในบริเวณส่วนของที่นั่งเท่านั้น เพื่อเป็นการกำหนดขอบเขตของแสงให้มีความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง

ขั้นตอนสุดท้าย จัดหาไฟดวงเล็กๆ พยายามจัดแสงสว่างให้ส่องเข้าไปหาผนังเพื่อให้ผนังดูซอฟต์ขึ้น และทำให้บรรยากาศในบริเวณนั้นอบอุ่นขึ้น พร้อมทั้งหาวิทยุรุ่นเก่าๆ ที่ยังสามารถเปิดเพลงได้ เปิดเสียงเพลงคลอเบาๆ ไปในขณะนั่งเล่น จะช่วยทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี

เพียงเท่านี้มุมห้องของผู้อ่านทุกท่านก็กลายเป็นมุมสบายๆ สไตล์คันทรี่กันไปเรียบร้อยแล้ว

Tuesday, August 2, 2011

ห้องนอนสีน้ำตาล


ห้องนอนสีน้ำตาล
ภาพจาก cadresolution.com

เลือกสี... แต่งบ้านให้น่าอยู่

การที่บ้านจะน่าอยู่หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยประกอบตัวบ้านหลายประการ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญและจะมองข้ามไปไม่ได้นั้นก็คือ "สีสันของบ้าน" ทั้งสีสันภายในและภายนอก ซึ่งการจะทำให้สีที่ติดอยู่กับตัวบ้านมีความสวยงามอย่างคงทน ทนแดดทนฝน การเลือกใช้สี ขั้นตอนการทาสี รวมถึงการดูแลรักษาก็ล้วนมีความสำคัญเท่าๆ กัน ขอแนะนำการทาสีตกแต่งบ้านสำหรับคนรักบ้านที่กำลังคิดจะแต่งบ้านให้น่าอยู่มาก ขึ้น

ปัจจุบันนี้สีที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดมีนับร้อยๆ ชนิดให้ได้เลือก แต่วัสดุที่ใช้ทำสีและลักษณะการใช้งานได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1.สีน้ำมันหรือสีเคลือบเงา ประเภทนี้จะต้องใช้น้ำมันหรือทินเนอร์เป็นตัวผสมทำให้สีเจือจาง ใช้สำหรับทางานไม้หรือโลหะเพื่อให้เกิดความเงางามและทำความสะอาดได้ง่าย

2.สีพลาสติกหรือสีอะคริลิก เป็นสีน้ำพลาสติก ใช้น้ำเป็นตัวผสมทำให้สีเจือจาง แต่เมื่อสีแห้งแล้วจะไม่ละลายหรือหลุดลอกไปตามน้ำ สีชนิดนี้เหมาะสำหรับทาผิวพื้นปูนหรือคอนกรีตทั่วไปรวมทั้งอิฐและกระเบื้อง แผ่นเรียบด้วย ซึ่งแบ่งได้ 2 ชนิด ตามลักษณะการใช้งานคือ สีทาภายในและสีสำหรับทาภายนอก สีพลาสติกสำหรับทาภายนอกจะมีคุณสมบัติในการทนแดดและฝนได้ดีกว่าสีชนิดทาภาย ใน นอกจากนี้สีพลาสติกต่างยี่ห้อก็ยังมีคุณสมบัติและความคงทนของสีแตกต่างกัน ออกไปด้วย ขึ้นอยู่กับส่วนผสมและปริมาณของเนื้อสีที่มีอยู่ทั้งนี้ระดับราคาก็แตกต่าง กันไปด้วย

ทั้งนี้ขั้นตอนในการเลือกใช้สีก็มีส่วนช่วยให้บ้านของคุณดูสวยงามและคงทน ด้วย โดยเริ่มจากการเลือกใช้สี ควรเลือกตามสเป็กหรือเบอร์สี สีขาวหม่นและสีธรรมชาติจะเหมาะสมที่สุดเพราะจะช่วยปิดบังรอยมือหรือความ สกปรกได้ดีกว่าสีอื่นๆ ห้องแต่ละห้องอาจใช้สีที่แตกต่างกันออกไปแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน แต่ละบริษัทผู้ผลิตสีจึงผลิตสีออกมาให้เลือกกันหลากหลาย เราจึงไม่ควรนำสีต่างๆ มาผสมเองเพราะมีโอกาสที่สีอาจผิดเพี้ยนไปได้ง่ายและไม่ควรนำสีเก่าหรือด้อย คุณภาพมาใช้ด้วย


ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

Tuesday, July 19, 2011

ไอเดีย ตกแต่งห้องนอนสีแดง


ไอเดีย ตกแต่งห้องนอนสีแดง

"สี" ในแง่มุมเชิงจิตวิทยา



เรื่องของ "สี" เป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง ที่เกี่ยวพันกับศาสตร์แขนงอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน จิตรกรรม และสถาปัตย์ ในสาขาจิตวิทยา "สี" เป็นเรื่องของกระบวนการรับรู้ของมนุษย์ ที่มีความซับซ้อนในระดับสมอง ไม่ใช่ในระดับเพียงแค่ "การมองเห็น" อย่างที่คนทั้วไปเข้าใจกัน เพราะ "สี" อยู่แวดล้อมในธรรมชาติ และโลกภายนอก คู่กับการ "รับรู้" ของมนุษย์มานานหลายพันปีแล้ว "สี" จึงเกี่ยวพันกับ "จิต" ของมนุษย์ และมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิต ทั้งโดยตรง และโดยอ้อมมาตลอดตั้งแต่บังเกิดเผ่าพันธุ์มนุษย์ กระบวนการ "รับรู้สี" และ "การตอบสนองต่อสี" ของมนุษย์ จึงมีความซับซ้อน และยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัยก็มีมากมาย


สีแดง ให้ความรู้สึกร้อน รุนแรง กระตุ้น ท้าทาย เคลื่อนไหว ตื่นเต้น เร้าใจ มีพลัง ความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ความรัก ความสำคัญ อันตราย


Sunday, July 17, 2011

ตกแต่งห้อง ด้วยวอลล์เปเปอร์


ทำให้ห้องทานข้าวดูสวย เด่นขึ้นมาเลยค่ะ

แบบต่อมา เป็นการตกแต่งสำหรับห้องเด็กค่ะ

ที่มา decorreport.com

Monday, July 11, 2011

ติด เหล็กดัด อย่างไรให้บ้านงาม

ไอเดีย 1. เหล็กบานเลื่อนลักษณะของบานเลื่อนจะขึ้นอยู่กับลักษณะของประตูหรือหน้าต่าง อาจจะใช้บานเลื่อนสองบานเข้ามาชนกันตรงกลาง หรือจะเป็นบานเดียวเลื่อนจากซ้ายไปขวาหรือขวาไปซ้ายก็ได้ ข้อดีของเหล็กดัดบานเลื่อนก็คือ
สามารถเลื่อนเปิดออกไปเก็บไว้ด้านข้าง ไม่ต้องมองเห็นเหล็กเมื่อคุณอยู่บ้านและเลื่อนมาปิดได้สะดวกในตอนกลางคืน ซึ่งเส้นสายของเหล็กดัดยังเป็นเหมือนดีไซน์ประดับบนผนังเรียบๆด้วย


ไอเดีย 2.เหล็กบานเฟี้ยม
ประตูเหล็ก ชนิดนี้สามารถเปิดออกไปได้สุดความกว้างของหน้าร้านและปิดได้แน่นหนา เหล็กบานชนิดนี้เหมาะกับประตูหน้าบ้านที่เป็นทาวน์เฮ้าส์หรือตึกแถว โดยติดเหล็กดัดให้เต็มความกว้างของหน้าตึกหรืออาจจะใช้ติดที่หน้าต่าง เป็นบานเฟี้ยมขนาดเล็กก็ได้


ไอเดีย 3.เหล็กบานกระทุ้ง
ไอเดียนี้เป็นการใช้ประโยชน์สองทางจากเหล็กดัด โดยทำเป็นบานกระทุ้งขึ้นไปแล้วใช้ตะขอสับให้ค้างไว้
ใช้ประโยชน์เป็นกันสาดหรือระแนงกันแดดได้ในตัว แต่เหล็กที่ใช้ควรจะเป็นเหล็กเส้นแบนแล้วเชื่อมติดกับกรอบให้เอียงประมาณ 45 องศา เหมาะที่จะใช้กับบ้านหน้าต่างมากกว่าบานประตู เพราะมีขนาดความสูงของหน้าต่างไม่ยาวจนเกินไป ควรจะทำตะขอสับให้แข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของบานกระทุ้งได้


ไอเดีย 4. เหล็กยืด
ประตูเหล็กยืดที่ใช้กันตามตึกแถวแม้เราจะเห็นจนชินตา และบางครั้งอาจจะรู้สึกไม่ชอบหน้ามันบ้างก็ตาม
แต่จริงๆแล้วประตูเหล็กยืดนั้นมีความแข็งแรงและใช้งานได้อย่างสะดวกหากนำไปใช้แทนเหล็กดั ในบ้านสไตล์โรงงานหรือ Industrial Look หรือบ้านแบบลอฟท์ ทาสีสันให้สวยแปลกตาก็น่าจะเข้าท่าดี ทำเป็นประตูเหล็กยืดช่วงสั้นๆ ไม่ต้องกว้างนัก หรือใช้ติดที่หน้าต่างก็ได้


ไอเดีย 5.ไม้หุ้มเหล็ก
สำหรับใครที่รับไม่ได้กับเหล็กดัดหรือบ้านใครที่ตกแต่งด้วยไม้สไตล์โอเรียนทัลหรูหรา แต่จะต้องมีเหล็กดัด
อาจจะทำเหล็กดัดเป็นแนวตั้งหรือแนวนอน แล้วใช้แท่งไม้ขนาดใหญ่กว่าเส้นเหล็กเล็กน้อยประกบเข้าไป
แล้วยึดติดไว้ด้วยสกรู คุณก็จะได้ระแนงไม้ที่มีเหล็กซ่อนไว้ข้างในแข็งแรงและทนทาน โดยจะทำเป็นแบบติดตายหรือเป็นบานเปิดเหมือนประตูของชานบ้านไทยสมัยก่อนก็ได้


สีของเหล็กดัด
สีที่เลือกทาที่เหล็กดัด ควรเลือกให้เหมาะกับบ้านโดยดึงสีที่ใช้ในส่วนต่างๆของตัวบ้านมาใช้ให้เหมาะสม
อาจทาสีให้เหมือนสีของวงกบหรือเลือกให้กลมกลืนกับสีของบานประตูและหน้าต่างบ้านบางหลังทาสีสดๆสไตล์เม็กซิกัน ก็เลือกทาสีเหล็กดัดเป็นสีสดตัดกันไปเลยก็มีแต่สีที่เราอยากจะแนะนำก็คือสีดำหรือขาว โดยให้เลือกใช้สีดำ ถ้าเป็นบ้านไม้หรือบ้านทาสีเข้มแต่ถ้าบ้านทาสีในโทนขาวหรือพาสเทล ก็ให้เลือกทาเหล็กดัดเป็นสีขาว สองสีนี้ปลอดภัยที่สุดค่ะ


ที่มา นิตยสารบ้านและสวน

Tuesday, July 5, 2011

ปรับฮวงจุ้ยต้อนรับหน้าฝน

1.เก็บบ้าน - หน้าต่างผนังแตกร้าว หลังคารั่ว ข้าวของระเกะระกะ ถ้าไม่ซ่อมจะทำให้พลังงานชี่หมุนเวียนไม่สะดวก

2.ดูแลประตู - ความชื้นที่มากับฝน มักทำให้พื้นไม้หรือประตูไม้ขยาย จึงต้องหมั่นหยอดน้ำมันให้ประตูเปิดปิดง่าย การออกแรงผลักประตูและปล่อยให้มีเสียงบานพับดังจะขับไล่ชี่ที่ดีในบ้านออกไป และทำให้ชี่ในร่างกายแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

3.สีแดงเสริมพลัง - เปลี่ยนรูปหรือของแต่งบ้านเป็นสีแดง เพราะสีแดงเป็นสีให้พลังหยินหยาง ช่วยกระตุ้นให้เกิดความสดชื่น มีชีวิตชีวา

4.ใส่ใจน้ำในบ้าน - ศาสตร์ฮวงจุ้ยถือว่าน้ำที่ไม่เคลื่อนไหวหรือกลิ่นเหม็นเป็น "น้ำตาย" และเรียกบ่อน้ำใช้ที่ขาดการดูแลว่า "ที่เก็บกักความเศร้าและความขมขื่น" วิธีแก้คือปลูกต้นไม้เหนือบ่อน้ำ เพื่อชักนำชี่ที่เลวร้ายขึ้นมาเปลี่ยนให้เป็นชี่ที่ดีกว่าเดิม

5.ทำราวตากผ้าหนีฝน - ติดตั้งราวตากผ้าแบบติดผนังพับเก็บง่าย หรือทำเองโดยใช้ไม้อัดทำเป็นกรอบเหมือนกรอบรูป แล้วใช้เชือกทำเป็นราว ไม้และเชือกเป็นตัวแทนของธาตุไม้ ช่วยเสริมพลังแสงอาทิตย์หรือธาตุไฟทำให้ผ้าแห้งเร็วขึ้น

6.ปลูกต้นไม้ไล่แมลง - ปลูกต้นเพียริส (Pieris) หรือต้นโคมไฟทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือหรือทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบ้าน กลิ่นของมันช่วยขับไล่แมลง ยุง มด และแมลงเม่าได้ดีนัก

7.ขับขี่ปลอดภัย - ผูกเหรียญจีนโบราณสีทอง 3 เหรียญ ประทัดจีน หรือคริสตัลไว้ที่กระจกมองหลังของรถ เพื่อเป็นเคล็ดในการเดินทางไปสู่ความมั่งคั่ง โชคลาภ และสุขภาพที่ดี

8.ทำตนให้เหมือนน้ำ - แม้จะปรับเปลี่ยนพื้นที่ให้ถูกต้องแล้ว แต่ศาสตร์ฮวงจุ้ยบอกว่า ถ้าไม่มีคุณธรรมก็ยากที่จะเรียกโชคลาภหรือความสำเร็จใด ๆ ได้ หน้าฝนนี้ควรทำตัวเสมือนสายน้ำ แสดงน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่นให้มากที่สุด

เล่าจื๊อ บอกว่า "น้ำคือสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุด ความดีของน้ำคือการทำประโยชน์แก่หมื่นสรรพสัตว์"

Saturday, June 25, 2011

ห้องนอนสีขาวเตียงม่วง


ห้องนอนสีขาวเตียงม่วง
เป็นการตกแต่งห้องนอนแบบเรียบๆ ด้วยห้องโทนสีขาวสะอาดตา แต่เน้นจุดเด่นที่เตียงนอนสีม่วงมังคุด

ภาพจาก cityandcountry.co.uk


Monday, June 20, 2011

7 เคล็ดลับปราบความรกรุงรังให้หายขาด!

โรคบ้าสมบัติไม่เข้าใครออกใคร และถ้าใครอาการหนักจนข้าวของเต็มบ้าน ก่อนที่บ้านจะรกเกินเยียวยา มาหาทางปราบความรกรุงรังกันเสียตั้งแต่ตอนนี้ได้แล้ว

1. หา "บ้าน" ให้ของทุกอย่าง ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะเอาของบางอย่างไว้ตรงไหน มันก็จะถูกกองเอาไว้ให้รกอยู่ตามมุมต่างๆ ของบ้านอย่างแน่นอน ฉะนั้นคุณต้องคิดให้ได้ว่า จะเอาของอะไรไว้ตรงไหน และจะได้เอาของนั้นไว้ในที่ซึ่งคุณจัดไว้ นอกจากจะไม่รกแล้ว ยังหาได้ง่ายกว่าด้วย

2. จัดให้พื้นที่ว่างในบ้านว่างเข้าไว้ พื้นที่ว่างในบ้านเป็นที่ซึ่งรกง่ายที่สุด เพราะเรามักจะวางของอะไรก็ตามเอาไว้ในพื้นที่ว่างที่แรกที่เจอ ฉะนั้นจงหลีกเลี่ยงการวางของในพื้นที่ว่างๆ

3. วางของให้พ้นหูพ้นตาเอาไว้ก่อน อย่าวางกองจดหมายไว้บนพื้นที่แรกที่คุณมองเห็นเมื่อเข้าบ้านมา ใส่มันในกล่องหรือในตู้ซะ บ้านจะได้ไม่มีข้าวของรกตา

4. ทำความสะอาดทุกครั้งที่ทำรก เมื่อคุณทำอะไรก็ตามเสร็จแล้ว ให้ทำความสะอาดตามหลังทันที เก็บของให้เรียบ กวาดหรือทิ้งของลงถังขยะให้เรียบร้อย เวลาถอดเสื้อผ้าก็อย่าทิ้งลงบนพื้น ให้ใส่ตะกร้าผ้าทันที ควรทำให้เป็นนิสัยแล้วคุณก็จะไม่ต้องตามทำความสะอาดของที่กองเต็มบ้านทีหลัง

5. ลดปริมาณข้าวของหน่อย จัดการกับเสือผ้าที่ไม่ได้ใส่มากว่าสองปี ดีวีดีที่ไม่เคยได้ดูซ้ำ หนังสือที่ไม่เคยได้อ่านอีก ของในครัวที่ไม่ได้ใช้มานานเป็นปีๆ ทิ้งไปหรือไม่ก็ยกให้คนอื่นไปซะ ยิ่งคุณมีน้อยเท่าไหร่ ก็จะยิ่งรกน้อยเท่านั้น แถมยังไม่ต้องทำความสะอาดมากอีกด้วย

6. หากล่องใส่ กล่องทำหน้าที่เก็บของเล็กๆ น้อยๆ ได้ดีนักแล นอกจากจะหาง่ายแล้วยังพ้นจากสายตาอีกด้วย เช่น กล่องใบเสร็จ กล่องใส่รูป เครื่องเขียน ซีดีเปล่าฯลฯ

7. แบ่งช่องลิ้นชัก แทนที่จะโยนของลงไปกองรวมกันในลิ้นชัก แล้วก็หาของไม่เจอ ลองหากระดาษแข็งมาทำช่องแบ่งกั้นในลิ้ยชักสำหรับของต่างๆ หรืออาจซื้อช่องแบ่งของในลิ้นชักแบบเก๋จากร้านขายของแต่งบ้านมาใช้ก็ได้นะคะ


ข้อมูลจาก Lisa